
ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลกส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อหลายภาคส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าธุรกิจธนาคารเป็นหนึ่งในจำนวนเหล่านั้นที่ต้องหาวิธีก้าวพ้นวิกฤตดังกล่าวให้ได้
แม้ตอนนี้หลายองค์กรทั่วโลกจะให้ความสำคัญกับแนวทางการทำงานแบบwork from home (การทำงานจากบ้าน) หรือ work anywhere (การทำงานที่ไหนก็ได้)
แต่แนวทางนี้อาจไม่ใช่สูตรสำเร็จหรือใช่สำหรับทุกองค์กร โดยเฉพาะธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญกับการดูแลพนักงาน ด้วยการใช้รูปแบบการทำงานที่สร้างความสมดุลระหว่างการทำงาน และการใช้ชีวิต
“วีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล” รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบุคคลธนกิจ ธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากล็อกดาวน์แล้วยังมีอีกหลายองค์กรที่ผสมผสานการทำงานที่สำนักงาน และที่บ้าน โดยเฉพาะซิตี้แบงก์ ประเทศไทยที่เชื่อว่าผลลัพธ์ของการทำงานที่ดีเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะทำงานอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่จะต้องมีบุคลากรคุณภาพ ทั้งด้านการทำงาน, สภาวะร่างกาย และจิตใจ จึงจะทำให้องค์กรเดินหน้าอย่างมั่นคงแข็งแกร่ง
“ช่วงเกิดวิกฤตโควิด-19 ใหม่ ๆ ในฐานะผู้บริหารที่ต้องติดต่อกับทีมเป็นประจำเพื่อแบ่งปันข้อมูลที่จำเป็น และรับการรายงานจากทีมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ก็ต้องปรับตัวในการทำงานจากที่บ้าน โดยในการทำงานทุก ๆ วันจะต้องจัดระเบียบเวลาการทำงานใหม่ให้มีความสอดคล้องกับคนที่บ้านด้วย เพื่อให้เกิด work life balance”
“ยึดแนวคิดการขับเคลื่อนองค์กรให้เดินหน้าแบบไม่สะดุด ดังนั้นการบริหารจัดการงานและการบริหารบุคลากรในช่วงดังกล่าวจึงต้องมีการดูแลอย่างใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการวางกลยุทธ์การทำงานของแต่ละสายงาน, การสนับสนุนอุปกรณ์เทคโนโลยีในการทำงานสำหรับพนักงานที่ต้องปฏิบัติงานอยู่ที่บ้าน และการสนับสนุนด้านสุขภาพทั้งร่างกาย และจิตใจของบุคลากรในองค์กร เป็นต้น”
“วีระอนงค์” กล่าวต่อว่า นอกจากการสร้างมาตรฐานการ work from home ให้มีประสิทธิภาพแล้ว สิ่งสำคัญคือการพูดคุยสอบถามกันในเรื่องที่จิปาถะนอกเหนือจากงานด้วย เพื่อให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายและสร้างความผูกพัน ดังนั้น เมื่อผ่านช่วงล็อกดาวน์ในประเทศไทยแล้ว สิ่งที่ผู้บริหารเรียนรู้ และสามารถสรุปหัวใจสำคัญของการบริหารคนและองค์กรในช่วงวิกฤตได้ 3 ข้อดังนี้คือ
หนึ่ง เข้าใจ – ในฐานะผู้บริหารแน่นอนว่าปัจจัยแรกที่ต้องมีคือความเข้าใจว่าวิกฤตแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบในทิศทางไหนบ้าง และเมื่อมีปัญหาต้องเข้าใจให้ถึงแก่นแท้ของปัญหาว่าเกิดจากอะไร เพราะหากมีความเข้าใจอย่างแท้จริง จะทำให้หาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตรงจุดมากที่สุด
สอง ใส่ใจ – ผู้บริหารต้องใส่ใจในรายละเอียดต่าง ๆ มากกว่าที่เคย ไม่ว่าเป็นเรื่องการทำงาน หรือเรื่องที่นอกเหนือจากการทำงาน บางสิ่งที่ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อาจส่งผลกระทบในทางลบจนทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ ดังนั้น การแสดงให้เห็นถึงความสำคัญต่อสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความจริงใจจะช่วยให้ข้ามผ่านได้ง่ายขึ้น
สาม ให้กำลังใจ – ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ใด ๆ มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการกำลังใจ ซึ่งการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร หรือการปฏิบัติต่อกัน เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะในโลกการทำงานองค์กรไม่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยคนเพียงคนเดียว
“ดิฉันเชื่อว่าเมื่อผู้บริหารใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้ จะสะท้อนออกมาให้คนในองค์กรเห็น ทั้งยังเป็นแบบอย่างให้สามารถนำไปปฏิบัติตามได้ โดยไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร หรือโลกมีการเปลี่ยนแปลงต่อจากนี้ไปในทิศทางไหน การที่ทุกคนมีความเข้าใจใส่ใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ตลอดจนการรู้จักปรับตัว และเรียนรู้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้ทุกคนมีภูมิคุ้มกันทั้งในเรื่องการทำงาน รวมถึงสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้เป็นอย่างดี”
นับว่าเป็นแนวทางการบริหาร “คน” ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลจิตใจของพนักงานอย่างน่าสนใจ
"เข้าใจแล้ว" - Google News
August 28, 2020 at 02:47PM
https://ift.tt/3hBCW7p
บริหารสไตล์ "ซิตี้แบงก์" ต้องเข้าใจ-ใส่ใจ-ให้กำลังใจ - ประชาชาติธุรกิจ
"เข้าใจแล้ว" - Google News
https://ift.tt/2KELImk
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://ift.tt/2LbDDWd
Bagikan Berita Ini
0 Response to "บริหารสไตล์ "ซิตี้แบงก์" ต้องเข้าใจ-ใส่ใจ-ให้กำลังใจ - ประชาชาติธุรกิจ"
Post a Comment